1) คำถามให้สังเกต เป็นคำถามที่ให้ผู้เรียนคิดตอบจากการสังเกต เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสืบค้นหา คำตอบ คือ ใช้ตาดู มือสัมผัส จมูกดมกลิ่น ลิ้นชิมรส และหูฟังเสียง ตัวอย่างคำถาม เช่น - เมื่อนักเรียนฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกอย่างไร - ภาพนี้มีลักษณะอย่างไร - สารเคมีใน 2 บีกเกอร์ ต่างกันอย่างไร - พื้นผิวของวัตถุเป็นอย่างไร 1. 2) คำถามทบทวนความจำ เป็นคำถามที่ใช้ทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน เพื่อใช้เชื่อมโยงไปสู่ความรู้ใหม่ก่อนเริ่มบทเรียน ตัวอย่างคำถาม เช่น - วันวิสาขบูชาตรงกับวันใด - ดาวเคราะห์ดวงใดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด - ใครเป็นผู้แต่งเรื่องอิเหนา - เมื่อเกิดอาการแพ้ยาควรโทรศัพท์ไปที่เบอร์ใด 1. 3) คำถามที่ให้บอกความหมายหรือคำจำกัดความ เป็นการถามความเข้าใจ โดยการให้บอกความหมายของข้อมูลต่าง ๆ ตัวอย่างคำถาม เช่น - คำว่าสิทธิมนุษยชน หมายความว่าอย่างไร - ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คืออะไร - สถิติ ( Statistics) หมายความว่าอย่างไร - บอกความหมาย ของ Passive Voice 1. 4) คำถามบ่งชี้หรือระบุ เป็นคำถามที่ให้ผู้เรียนบ่งชี้หรือระบุคำตอบจากคำถามให้ถูกต้อง ตัวอย่างคำถาม เช่น - ประโยคที่ปรากฏบนกระดานประโยคใดบ้างที่เป็น Past Simple Tense - คำใดต่อไปนี้เป็นคำควบกล้าไม่แท้ - ระบุ ชื่อสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง - ประเทศใดบ้างที่เป็นสมาชิก APEC 2) คำถามระดับสูง เป็นการถามให้คิดค้น หมายถึง คำตอบที่ผู้เรียนตอบต้องใช้ความคิดซับซ้อนเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถใช้สมองซีกซ้ายและซีกขวาในการคิดหำคาตอบ โดยอาจใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาเป็นพื้นฐานในการคิดและตอบคำถาม ตัวอย่างคำถามระดับสูงได้แก่ 2.
ครูสนทนากับนักเรียนว่ารู้จัก Past Simple Tense หรือไม่และมีหลักการใช้อย่างไร โดยให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น 2. ครูบอกนักเรียนว่าชั่วโมงนี้เราจะเรียนเรื่อง Past Simple Tense ครูเปิด CD โดยใช้สื่อ CAI ร่วมกับการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมีความสนใจ และกระตือรือร้นในการเรียนมากขึ้น Past Simple Tense 1. ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า โครงสร้าง: Subject + Verb 2 ( ประธาน + กริยาช่องที่ 2) ตัวอย่าง: walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้) 2. They played volleyball last week. ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว) 2. ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้ โครงสร้าง: Subject + did + not + Verb 1 ( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1) ตัวอย่าง: 1. He did not ( didn't) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้) 2. They did not play volleyball last week. ( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว) ข้อสังเกต: เมื่อนำ did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่ 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย 3.
กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น plan - planned = วางแผน stop - stopped = หยุด beg - begged = ขอร้อง 4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย occur - occurred = เกิดขึ้น refer - referred = อ้างถึง permit - permitted = อนุญาต ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น cover - covered = ปกคลุม open - opened = เปิด 5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น walk - walked = เดิน start - started = เริ่ม worked - worked = ทำงาน กิจกรรมรวบยอด ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดเรื่อง Past Simpke Tense จากใบงานที่ครูแจกให้ จากนั้น ให้นักเรียนนำเสนอหน้าชั้นเรียน ครูคอยให้คำปรึกษา และแสดงความคิดเห็น สื่อและแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน Aha ป. 5 2. สื่อ CAI 3. บัตรคำ
∃x∃y P(x, y) เป็นจริง ก็ต่อเมื่อ มี a บางตัวของ U ที่แทนค่าใน x แล้วทำให้ P(a, y) เป็นจริง เป็นเท็จ ก็ต่อเมื่อ นำสมาชิก a ทุกตัวของ U มาแทนค่าใน x แล้วทำให้ P(a, y) เป็นเท็จ 3. ∀x∃y P(x, y) เป็นจริง ก็ต่อเมื่อ นำสมาชิก a ทุกตัวของ U มาแทนค่าใน x แล้วทำให้ P(a, y) เป็นเป็นจริง เป็นเท็จ ก็ต่อเมื่อ มี a บางตัวของ U ที่แทนค่าใน x แล้วทำให้ P(a, y) เป็นเท็จ 4. ∃x∀y P(x, y) เป็นจริง ก็ต่อเมื่อ มี a บางตัวของ U แทนค่าใน x แล้วทำให้ P(a, y) เป็นจริง ถ้าน้องๆอ่านแล้วยังงงๆเราลองมาดูตัวอย่างกันค่ะ ตัวอย่างโจทย์เกี่ยวกับค่าความจริงของตัวบ่งปริมาณ พิจารณาประพจน์ต่อไปนี้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ ให้ U เป็นเซตของจำนวนเต็ม 1. ) ∀x[x ≠ x²] แนวคำตอบ เป็นเท็จ เพราะ เมื่อ แทน x = 1 จะเห็นว่า 1 = 1² 2. ) ∃x[x² ≥ 0] แนวคำตอบ เป็นจริง เพราะ เมื่อเราลองแทนค่า x = 1 จะเห็นว่า 1² ≥ 0 (∃: เป็นจริงแค่กรณีเดียวก็ถือว่าประพจน์เป็นจริงแล้ว) 3. ) ∃x[x + 2 = x] แนวคำตอบ เป็นเท็จ เพราะ ในระบบจำนวนจริงนั้น มีแค่ x + 0 = x ดังนั้น จึงไม่มี x ที่ทำให้ x +2 = 0 ให้ U = {-1, 0, 1} 1. ) ∀x∀y[x² – y = y² – x] (หมายความว่า x ทุกตัว ทำให้ y ทุกตัวเป็นจริง) แนวคำตอบ เป็นเท็จ เพราะ เมื่อแทน x = -1 และ y = 1 จะได้ (-1)²- 1 = 1² – (-1) ⇒ 1 – 1 = 1 + 1 ⇒ 0 = 1 (เป็นเท็จ) **∀: เป็นเท็จแค่กรณีเดียวก็ถือว่าเป็นประพจน์นั้นเป็นเท็จ วิธีคิดอย่างละเอียด: แต่สำหรับคนที่เชี่ยวชาญแล้ว เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ให้เราลองคิดว่ากรณีไหนบ้างที่จะทำให้เป็นเท็จ แล้วลองแทนค่า x y แค่กรณีนั้นก็พอ ถ้าได้คำตอบออกมาเป็นเท็จจริงก็สามารถสรุปได้เลย 2. )
ประโยค Past Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ did มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้ โครงสร้าง: Did + Subject + Verb 1 ( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1) ตัวอย่าง: 1. Did he walk to school yesterday? ( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่) - Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา) - No, he didn't. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา) 2. Did they play volleyball last week? ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่) - Yes, they did. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่น) - No, they didn't. ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น) 4. หลักการใช้ Past Simple Tense 1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคำ กลุ่มคำ หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค คำ กลุ่มคำ อนุประโยค ago last night when he was young once last year when he was five years old yesterday เช่น 1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว) 2. His father died during the war.
Past Simple Tense ง่ายๆ - สอนภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรี - YouTube
( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม) 3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก) 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหาจากการเรียนในชั่วโมงนี้ว่า การใช้ Past Simple Tense คืออะไร มีความหมายอย่างไร และมีหลักการใช้อย่างไร 4. ครูสรุป ความหมาย และหลักการใช้ Past Simple Tense ให้นักเรียนอีกครั้ง กิจกรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 2 กิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน ครูทบทวนความรู้เดิมจากชั่วโมงก่อน โดยการสุ่มนักเรียนเป็นตัวแทนเพื่อออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียนว่า หลักการใช้ Psat Simple Tense มีอะไรบ้าง กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ 1. ครูใช้สื่อ CAI ร่วมกับการอภิปรายของครูในการเรื่องหลักการเติม ed ในPast Simple Tense มีกฏดังนี้ 1. หลักการเติม ed ที่คำกริยา 1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น love - loved = รัก move - move = เคลื่อน hope - hoped = หวัง 2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น cry - cried = ร้องไห้ try - tried = พยายาม marry - married = แต่งงาน ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น play - played = เล่น stay - stayed = พัก, อาศัย enjoy - enjoyed = สนุก obey - obeyed = เชื่อฟัง 3.
ตัวบ่งปริมาณ ตัวบ่งปริมาณ คือ สัญลักษณ์หรือข้อความที่เมื่อเราเอาไปเติมใน "ประโยคเปิด" แล้วจะทำให้ประโยคนั้นกลายเป็นประพจน์ ประโยคเปิด คือประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธที่ติดค่าตัวแปรที่ยัง "ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ" โดยตัวแปรนั้นเป็นสมาชิกของเอกภพสัมพัทธ์ (Universe: U) ประโยคเปิด ยังไม่ใช่ประพจน์ (แต่เกือบเป็นแล้ว) เพราะเรายังไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ เช่น "x มากกว่า 3" จะเห็นว่าตัวแปร คือ x ซึ่งเราไม่รู้ว่า x คืออะไร และมากกว่า 3 จริงไหม ดังนั้น ข้อความนี้ยังไม่เป็นประพจน์ เราจะกำหนดให้ P(x) เป็นประโยคเปิดใดๆ เราสามารถทำประโยคเปิดให้เป็น "ประพจน์" ได้ 2 วิธี คือ 1. นำสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ์ แทนค่าตัวแปรลงไป เช่น x มากกว่า 3 โดยเอกภพสัมพัทธ์ คือ จำนวนเต็ม จะเห็นว่า ถ้าเราให้ x เท่ากับ 2 (ซึ่ง 2 เป็นสมาชิกของเอกภพสัมพัทธ์) เราจะได้ว่า ประโยค 2 มากกว่า 3 เป็นเท็จ ดังนั้น ประโยคดังกล่าวจึงเป็นประพจน์ 2. ) เติม " ตัวบ่งปริมาณ " ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ 2. 1) ∀ x (อ่านว่า for all x) ใช้แทนคำว่า "สำหรับ x ทุกตัว" คำที่มีความหมายเดียวกับ ∀ x ที่เราเห็นกันบ่อยๆ เช่น สำหรับ x ใดๆ, สำหรับ x แต่ละตัว 2. 2) ∃ x (อ่านว่า for some x)ใช้แทนคำว่า "มี x บางตัว" คำที่เรามักเจอและมีความหมายเหมือน ∃ x เช่น มี x อย่างน้อย 1 ตัว วิธีการเขียนตัวบ่งปริมาณ เราจะให้ P(x) แทนประโยคเปิด เราจะใช้สัญลักษณ์ ∀ xP(x) และ ∃ xP(x) สมมติถ้าให้ P(x) แทน x+2 ≥ 2 และให้ U ∈ เมื่อ เป็นเซตของจำนวนจริง จะได้ ∀ x[x+2 ≥ 2] อ่านว่า สำหรับ x ทุกตัว ที่ x+2 ≥ 2 และจะได้ ∃ x[x+2 ≥ 2] อ่านว่า มี x บางตัว ที่ x+2 ≥ 2 **ค่า x ที่จะเอามาพิจารณาได้คือ เลขใดก็ได้ที่เป็นจำนวนจริง แต่!!!
1) คำถามให้อธิบาย เป็นการถามโดยให้ผู้เรียนตีความหมาย ขยายความ โดยการให้อธิบาย แนวคิดของข้อมูลต่าง ๆ ตัวอย่างคำถาม เช่น - เพราะเห ตุใด ใบไม้จึงมีสีเขียว - นักเรียนควรมีบทบาทหน้าที่ในโรงเรียน อย่างไร - ชาวพุทธที่ดีควรปฏิบัติตน อย่างไร - นักเรียนจะปฏิบัติตน อย่างไร จึงจะทำให้ร่างกายแข็งแรง 2. 2) คำถามให้เปรียบเทียบ เป็นการตั้งคำถามให้ผู้เรียนสามารถจำแนกความเหมือน – ความแตกต่างของข้อมูลได้ ตัวอย่างคำถาม เช่น - พืชใบเลี้ยงคู่ ต่างจาก พืชใบเลี้ยงเดี่ยวอย่างไร - จง เปรียบเทียบ วิถีชีวิตของคนไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย - DNA กับ RNA แตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร - สังคมเมืองกับสังคมชนบทเหมือนและ ต่างกัน อย่างไร 2. 3) คำถามให้วิเคราะห์ เป็นคำถามให้ผู้เรียนวิเคราะห์ แยกแยะปัญหา จัดหมวดหมู่ วิจารณ์แนวคิด หรือบอกความสัมพันธ์และเหตุผล ตัวอย่างคำถาม เช่น - อะไรเป็น สาเหตุ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน - วัฒนธรรมแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง - สาเหตุใด ที่ทำให้นางวันทองถูกประหารชีวิต - การติดยาเสพติดของเยาวชนเกิดจาก สาเหตุใด 2. 4) คำถามให้ยกตัวอย่าง เป็นการถามให้ผู้เรียนใช้ความสามารถในการคิด นำมายกตัวอย่าง ตัวอย่างคำถาม เช่น - ร่างกายขับของเสียออกจาก ส่วนใดบ้าง - ยกตัวอย่าง การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไตล์ - หินอัคนีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างไรบ้าง - อาหารคาวหวานในพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้แก่ อะไรบ้าง 2.